การประสมวง
การประสมวงดนตรี คือการเอาเครื่องดนตรีหลาย ๆ อย่างมาบรรเลงรวมกัน แต่การที่จะนำเอาเครื่องดนตรีคนละอย่างมาบรรเลงพร้อมกัน จะต้องพิจารณาว่าเสียง กลมกลืนกันและไม่ดังกลบเสียงกันหรือไม่ สมัยโบราณเครื่องดีดมักจะผสมกับเครื่องสี เพราะมีเสียงที่ค่อนข้างเบาเหมือนกัน และเครื่องตีก็มักจะผสมกับเครื่องเป่าเท่านั้น เพราะมีเสียงค่อนข้างดังมากเหมือนกัน เมื่อรู้จักวิธีสร้างหรือแก้ไขให้เครื่องตีและเครื่องเป่ามีความดังของเสียงลงได้เสมอกับเครื่องดีดเครื่องสีแล้ว จึงได้นำเครื่องตี และเครื่องเป่าบางชนิดผสมในแบบเฉพาะตามที่ต้องการและจำเป็น และเลือกดูว่า เครื่องดนตรีอย่างไหนทำเสียงสูงต่ำได้หลายเสียง ก็ให้บรรเลงเป็นทำนองชนิดไหน ทำเสียงสูงต่ำหลายเสียงไม่ได้ ก็ให้เป็นเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบจังหวะ

ปัจจุบัน การประสมวงดนตรีมีด้วยกันสี่ประเภท ดังนี้

วงขับไม้เริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ประกอบด้วยคนเล่น ๓ คน คือ คนขับลำนำ, คนไกวบัณเฑาะว์ และคนสีซอสามสาย จนมาถึงสมัยอยุธยาได้มีการเพิ่มคนดีดกระจับปี่ เข้าไปอีกหนึ่งคนและเปลี่ยนจากบัณเฑาะว์มาเป็นโทน

วงเครื่องสายเริ่มมีขึ้นในสมัยอยุธยาแล้วแต่ไม่เป็นหลักฐานเท่าไรนัก ใช้เครื่องดนตรีหลักคือ ซอด้วง, ซออู้, จะเข้ นอกจากนี้ยังมี ขลุ่ย ร่วมด้วย ส่วนเครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบจังหวะ ได้แก่ ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง หรือ กลอง ครั้นถึงสมัยรัตนโกสินทร์จึงได้มีการบรรเลงวงเครื่องสายขึ้นอย่างจริงจัง ซึ่งมีทั้งวงเครื่องสายไทย วงเครื่องสายปี่ชวา (ใช้ปี่ชวาแทนขลุ่ย) และวงเครื่องสายประสม (ใช้เครื่องสายไทยประสมกับเครื่องดนตรีของต่างชาติ เช่น ออร์แกน เปียโน ไวโอลิน ขิม จะเข้ญี่ปุ่น) เป็นต้น

วงปี่พาทย์เป็นการประสมวงที่มีปี่และเครื่องเคาะ สมัยสุโขทัยได้เริ่มมี "วงปี่พาทย์เครื่องห้า" ขึ้นมาก่อน โดยใช้เครื่องดนตรี ๕ ชิ้น คือ ปี่ ตะโพน ฆ้อง กลอง ฉิ่ง ต่อมาได้มีวิวัฒนาการมาเป็นลำดับ จนเจริญถึงขีดสุดในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยมีการเพิ่มระนาดเข้าไปในภายหลัง
วงปี่พาทย์ในปัจจุบันแบ่งออกได้ ๗ แบบ ตามการจัดกลุ่มเครื่องดนตรีดังนี้
ประเภทของวงปี่พาทย์

เครื่องดนตรีที่ใช้

ปี่พาทย์ชาตรี

ปี่นอก, ฆ้องคู่, โทนชาตรี, กลองชาตรี, ฉิ่ง, กรับ

ปี่พาทย์เครื่องห้า

ปี่ใน, ฆ้องวงใหญ่,ระนาด,ตะโพน,กลองทัด, ฉิ่ง

ปี่พาทย์เครื่องคู่ 

ปี่ใน, ปี่นอก, ฆ้องวงใหญ่, ฆ้องวงเล็ก, ระนาดเอก, ระนาดทุ้ม, ตะโพน, กลองทัด, ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง

ปี่พาทย์เครื่องใหญ่

ปี่ใน, ปี่นอก, ฆ้องวงใหญ่, ฆ้องวงเล็ก, ระนาดเอก, ระนาดทุ้ม, ระนาดเหล็ก, ระนาดทุ้มเหล็ก,
ตะโพน, กลองทัด, ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง

ปี่พาทย์นางหงส์

ปี่ชวา, ฆ้องวงใหญ่, ฆ้องวงเล็ก, ระนาดเอก, ระนาดทุ้ม, กลองมลายู, ฉิ่ง

ปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์

ขลุ่ยเพียงออ, ขลุ่ยอู้, ฆ้องวงใหญ่, ฆ้องหุ่ย, ระนาดเอก, ระนาดทุ้ม, ระนาดทุ้มเหล็ก, ซออู้, ตะโพน, กลองตะโพน,
กลองแขก, ฉิ่ง

ปี่พาทย์มอญ

ปี่มอญ, ฆ้องมอญ, ระนาด, เปิงมางคอก, ตะโพนมอญ, โหม่งมอญ, ฉิ่ง ฉาบ (จัดเครื่องดนตรีตามแต่ว่าจะเป็นชุดเครื่องเล็ก, เครื่องใหญ่
หรือเครื่องคู่)

วงมโหร เริ่มในสมัยอยุธยา วงมโหรีเกิดขึ้นมาจากการดัดแปลงวงขับไม้ในอดีต โดยนำพิณมาร่วมบรรเลงดัวย ซึ่งเดิมมีเครื่องดนตรีเพียง ๒ ชิ้น แล้วเปลี่ยนคนขับลำนำมาเป็นคนร้อง และตีกรับพวง เปลี่ยนจากบัณเฑาะว์เป็นโทนพร้อมกับเพิ่มรำมะนาและขลุ่ยไปประสมร่วมด้วย  
ในปัจจุบันมโหรีกลายมาเป็นวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีครบทุกชนิด ทั้งดีด สี ตี เป่า ซึ่งเท่ากับเป็นการผสมวงปี่พาทย์และวงเครื่องสายเข้าด้วยกัน ประกอบด้วยเครื่องดนตรีเหล่านี้คือ ซอ (ซอสามสาย ซอด้วง ซออู้), จะเข้, ระนาด, ฆ้องวง, ขลุ่ย, กลอง หรือโทน และเครื่องประกอบจังหวะได้แก่ ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง (สังเกตว่าไม่มีปี่) โดยแบ่งออกเป็น วงมโหรีเครื่องเล็ก, มโหรีเครื่องคู่ และมโหรีเครื่องใหญ่
วงปี่พาทย์
วงมโหรี


กลับไปหน้าหลัก
Free Web Hosting